อาการของประจําเดือนจะเกิดขึ้นกับผู้หญิงทุกคนเมื่อเข้าสู่วัยเจริญพันธุ์ หรือวัยที่มีการเจริญเติบโตสมวัย โดยเป็นช่วงวัยที่เริ่มโตเป็นสาว ซึ่งถ้าหากร่างกายมีความสมบูรณ์ ฮอร์โมนเพศหญิงภายในร่างกายจะทำงานได้อย่างเต็มที่ ทำให้เกิดการมีประจำเดือนในทุกๆ เดือน ถือว่าประจำเดือนมาเป็นปกติ แต่ถ้าหากประจำเดือนในเดือนนั้นๆ ขาด หรือมากระปริดกระปรอย หรือประจำเดือนไม่มา 1 เดือนขึ้นไป นั่นหมายถึงว่าคุณมีความผิดปกติของรอบเดือนแล้วนั่นเอง
ประจำเดือนขาด 1 เดือน มีสาเหตุจากอะไร
ผู้หญิงที่มีประจำเดือนมาไม่ปกติ หรือประจำเดือนขาด 1 เดือนขึ้นไป ต้องพึงระวังตัวเองอยู่เสมอ เพราะนั่นหมายถึงความผิดปกติที่เกิดขึ้นกับร่างกายของคุณ โดยสาเหตุของประจำเดือนที่ไม่ปกติมีดังต่อไปนี้
- เกิดจากการตั้งครรภ์
- เกิดจากการรับประทานยาคุมกำเนิด
- ภาวะน้ำหนักตัวที่มากเกินปกติ
- ภาวะความเครียดที่รุนแรง
- การออกกำลังกายหรือทำงานที่หักโหม
- ความผิดปกติของฮอร์โมนภายในร่างกายที่เกิดขึ้นกับผู้ที่มีโรคประจำตัว
- ความผิดปกติที่เกิดจากการติดเชื้อภายในช่องคลอด
- การถูกขูด ถูกตัดมดลูก ที่เกิดจากการทำแท้ง
- เกิดจากเนื้องอก หรือถุงน้ำในรังไข่จำนวนมาก
- วัยที่เข้าสู่วัยทอง หรือวัยประจำเดือนใกล้หมด ประจำเดือนมักจะมีการขาด หรือมากระปริบกระปรอย
- หญิงให้นมบุตร หรือหญิงหลังคลอด ที่ฮอร์โมนกำลังปรับตัวให้เป็นปกติ
ประจำเดือนขาด 1 เดือน ส่งผลเสียอย่างไรต่อร่างกาย
1.ส่งผลให้เยื่อบุโพรงมดลูกมีความหนาขึ้น เนื่องจากเกิดการสะสมบริเวณเยื่อบุโพรงมดลูกทำให้ไม่มีการหลุดลอกออกมาเป็นประจำเดือน อาจทำให้เกิดมะเร็งที่มดลูกได้
2.ส่งผลให้เกิดการมีบุตรยาก ถ้าหากหญิงใดที่มีประจำเดือนผิดปกติ จะส่งผลให้ฮอร์โมนภายในร่างกายเกิดการเปลี่ยนแปลง ทำให้ไข่กับอสุจิเกิดการปฏิสนธิได้ยาก ส่งผลให้เกิดการมีบุตรยาก
3.การมีประจำเดือนถือว่าเป็นการขับถ่ายเลือดเสียที่สะสมอยู่ภายในร่างกายออกมา ซึ่งในขณะที่มีประจำเดือนผิวพรรณจะมีความสดใส มีความเปลี่ยนแปลงอย่างมาก แต่หลังจากที่ประจำเดือนขาดไป จะทำให้ผิวพรรณที่มีความสดใสเกิดหมองคล้ำ เนื่องจากไม่ได้ทำการขับเลือดเสียออกจากร่างกายนั่นเอง
4.ประจำเดือนที่มาไม่ปกติ จะส่งผลให้เกิดโรคร้ายแรงต่างๆ ตามมา เนื่องจากการสะสมของเสียภายในร่างกาย เช่น โรคมะเร็ง โรคระบบสืบพันธุ์ต่างๆ
เมื่อประจำเดือนขาด 1 เดือน ควรทำอย่างไร
ในบางครั้งการมีรอบเดือนในแต่ละครั้งเราจะไม่ค่อยได้สังเกตอาการตนเอง บางเดือนอาจเกิดความผิดปกติ บางเดือนอาจไม่มีความผิดปกติเลย ซึ่งถ้าหากเกิดประจำเดือนขาด 1 เดือนแล้วนั้นสิ่งที่เราควรทำดังต่อไปนี้คือ
1.ทำการศึกษาหาข้อมูล กับสาเหตุต่างๆ ที่เกิดขึ้น เพื่อประเมินอาการเบื้องต้นของตนเองให้ได้
2.แน่นอนว่าหากประจำเดือนขาด หรือประจําเดือนไม่มา โดยส่วนใหญ่แล้วผู้หญิงเราจะนึกถึงการตั้งครรภ์ โดยจะทำการซื้อชุดตรวจครรภ์ มาตรวจเพื่อหาสาเหตุของอาการประจำเดือนไม่มา แต่ถ้าหากตรวจแล้วไม่พบการตั้งครรภ์ ให้รีบไปพบแพทย์ทันทีเพื่อหาสาเหตุ จากนั้นแพทย์จะทำการรักษาตามขั้นตอนในการรักษาของแพทย์
แนวทางรักษาประจำเดือนขาด 1 เดือน กรณีไม่ได้ตั้งครรภ์
หากประจำเดือนขาด 1 เดือน ไม่ได้มีผลมาจากการตั้งครรภ์ นั่นหมายถึงความผิดปกติของร่างกาย ที่เราต้องทำการรักษา ให้ตรงจุด และให้หายเป็นปกติ ซึ่งมีวิธีการรักษาดังนี้
1.การรับประทานยาปรับฮอร์โมน บางครั้งประจำเดือนขาดหรือประจําเดือนไม่มา มีสาเหตุอันเนื่องมาจากความเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนที่ผิดปกติ แพทย์จะทำการจ่ายยาปรับฮอร์โมนให้เรารับประทาน เพื่อให้ฮอร์โมนกลับมาเป็นปกติดังเดิม
2.การรับประทานยาคุม การรักษาเช่นนี้เป็นวิธีการรักษาผู้ที่มีอาการถุงน้ำในรังไข่มีจำนวนมาก ซึ่งถ้าหากรับประทานยาคุมซึ่งมีฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนอยู่ในนั้น จะช่วยรักษาอาการได้
3.การรักษาที่เกิดจากความผิดปกติที่เกี่ยวเนื่องกับโรคประจำตัว โดยส่วนใหญ่แล้วแพทย์จะให้รับประทานยาเฉพาะโรค ซึ่งถ้าหากรักษาอาการของโรคประจำตัวให้ดีขึ้นแล้ว อาการเหล่านั้นก็จะกลับมาเป็นปกติดังเดิม
4.ถ้าหากแพทย์วินิจฉัยว่าอาการเหล่านี้เกิดจากพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม ไม่ว่าจะเป็นความเครียด ความคิดวิตกกังวลของคนไข้ คุณควรปรับเปลี่ยนพฤติกรรมใหม่ เช่น หากิจกรรมที่สร้างความผ่อนคลายให้กับตนเอง อยู่กับเพื่อนฝูงให้มากขึ้น การนั่งสมาธิ การเข้าวัดฟังธรรม หรือกิจกรรมอื่นๆ ที่ไม่ทำให้เกิดความเครียดนั่นเอง อาการเหล่านี้ก็จะหายไปเอง
หลายสาวๆ หากประจําเดือนไม่มา หรือประจำเดือนมาไม่ปกติ โดยส่วนใหญ่แล้วจะไม่ไปพบแพทย์ทันที จะซื้อยามารับประทานเอง ซึ่งถือว่าเป็นวิธีที่ผิด เพราะยาบางตัวจะส่งผลเสียต่อร่างกาย ให้เกิดความรุนแรงเพิ่มขึ้น ถ้าหากประสบกับปัญหาประจำเดือนไม่มา 1 เดือน บางครั้งอาการเหล่านี้ก็ไม่ได้มีความรุนแรงแต่อย่างใด
ถ้าหากตรวจพบว่าเกิดจากการตั้งครรภ์ เราก็แค่ไปพบแพทย์เพื่อทำการฝากครรภ์ตามขั้นตอน หรือความผิดปกติที่เกิดจากฮอร์โมนของเพศหญิง แพทย์จะให้ยารับประทานอาการผิดปกติของฮอร์โมนก็จะหายไปเอง แต่ถ้าอาการเหล่านี้เกิดจากโรคต่างๆ ก็ให้คุณคอยสังเกตอาการตนเอง หากมีอาการที่ไม่ปกติ หรือมีความรุนแรงเพิ่มมากขึ้น ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อทำการรักษาให้ทันท่วงที เพื่อที่แพทย์จะได้ทำการวินิจฉัย และรักษาอาการได้อย่างรวดเร็ว